นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติร่างพ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งกฎหมายนี้ เป็นกฎหมายที่ต้องการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อสนับสนุนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว จะส่งให้กฤษฎีกาตรวจสอบร่าง ก่อนส่งให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
สำหรับรายละเอียดของ ร่าง พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …มีสาระสำคัญ ดังนี้
โดยผู้ได้รับการส่งเสริม สามารถนำเครดิตภาษีที่ได้รับอนุมัติ ไปใช้แทนการชำระภาษีอากรของตนเอง หรือนิติบุคคลในเครือเดียวกันที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย โดยต้องนำไปใช้แทนการชำระภาษีอากรภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด
ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว เป็นการดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการ จากการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Top-Up Tax) (เป็นการจัดเก็บภาษีในรูปแบบใหม่) ซึ่งประเทศไทย ได้ตรา พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.68 เพื่อจัดเก็บภาษีดังกล่าวจากกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติขนาดใหญ่ และนิติบุคคลในเครือ ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทยที่มีรายได้รวมทั้งหมดตามงบการเงินรวมของนิติบุคคลแม่ลำดับสูงสุดของกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาตินั้น ตั้งแต่ 750 ล้านยูโรขึ้นไป (ประมาณ 30,000 ล้านบาท) ในอย่างน้อย 2 รอบระยะเวลาบัญชี ในช่วง 4 รอบระยะเวลาบัญชีก่อนหน้ารอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบันที่พิจารณา เป็นผู้มีหน้าที่ต้องเสีย Top-Up Tax โดยต้องเสียภาษีขั้นต่ำ (GMT) ในอัตราร้อยละ 15 (ซึ่งต้องเริ่มคำนวณและยื่นแบบเพื่อชำระภาษีดังกล่าวตั้งแต่ปี 2568) อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการรองรับการเสียภาษีขั้นต่ำ (Global Minimum Tax) ตาม Pillar 2 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
โดยจากการศึกษาพบว่า ในต่างประเทศได้มีการนำวิธีการให้เครดิตภาษี (Qualified Refundable Tax Credits: ORTC) ซึ่งเป็นการคืนเงินภาษีในรูปแบบของเงินสด หรือเทียบเท่า หากบริษัทสามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลของผู้จัดเก็บภาษีกำหนด มาใช้เป็นแนวทางในการบรรเทาผลกระทบจากการจัดเก็บ Top-Up Tax และวิธีการ ORTC เป็นวิธีการที่ OECD ให้การยอมรับ
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ยังมีการอนุมัติงบกลางในหลายรายการ สำหรับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น โครงการอาหารเสริมนมในโรงเรียนเอกชน เป็นต้น
อีกทั้ง ครม. ยังได้รับทราบข้อห่วงใยของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการปฏิบัติตามพ.ร.บ.ส่งเสริมพัฒนาคุณภาพคนพิการ พ.ศ.2550 ซึ่งในอดีตที่ผ่านมากฎหมายฉบับนี้ รัฐบาลต้องการให้มีคนพิการเข้าทำงานในหน่วยงานต่าง ๆ ตามเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดไว้ โดยปัจจุบันมีคนพิการถึง 2,206,343 คน แต่เข้าทำงานเพียง 18,000 คน จึงมีมติให้ไปจำแนกประเภทคนพิการ เพื่อส่งเสริมให้คนพิการทำงานมากขึ้นตามข้อกำหนดที่กำหนดไว้