ครม.ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.เพิ่มขีดความสามารถฯ หนุนต่างชาติลงทุนไทย-เคาะงบกลางโครงการจำเป็น

03 กันยายน 2568
ครม.ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.เพิ่มขีดความสามารถฯ หนุนต่างชาติลงทุนไทย-เคาะงบกลางโครงการจำเป็น

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติร่างพ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งกฎหมายนี้ เป็นกฎหมายที่ต้องการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อสนับสนุนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว จะส่งให้กฤษฎีกาตรวจสอบร่าง ก่อนส่งให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป

สำหรับรายละเอียดของ ร่าง พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …มีสาระสำคัญ ดังนี้

  1. การให้สิทธิและประโยชน์เครดิต และการนำเครดิตไปใช้แทนการชำระภาษีอากร โดยกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติให้ผู้ได้รับการส่งเสริม สามารถได้รับสิทธิเครดิตภาษีตามสัดส่วนของการลงทุนหรือค่าใช้จ่ายครอบคลุม 3 ด้าน

โดยผู้ได้รับการส่งเสริม สามารถนำเครดิตภาษีที่ได้รับอนุมัติ ไปใช้แทนการชำระภาษีอากรของตนเอง หรือนิติบุคคลในเครือเดียวกันที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย โดยต้องนำไปใช้แทนการชำระภาษีอากรภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

  1. การคืนเครดิตภาษีที่เหลืออยู่จากกองทุนฯ ผู้ได้รับการส่งเสริม สามารถยื่นคำขอต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพื่อขอรับเครดิตภาษีที่เหลืออยู่ คืนเป็นเงินสดภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด และคณะกรรมการนโยบายมีอำนาจพิจารณาให้นำเงินจากกองทุนฯ มาจ่ายคืนสำหรับเครดิตภาษีที่เหลืออยู่นั้นได้ ทั้งนี้ ภาครัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุนให้เพียงพอต่อการคืนเงินสด
  1. การเพิกถอนสิทธิและประโยชน์เครดิตภาษี โดยกำหนดให้ในกรณีที่มีการตรวจสอบพบการให้หรือการใช้สิทธิและประโยชน์เครดิตภาษีไม่ถูกต้อง คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจในการเพิกถอนสิทธิและประโยชน์เครดิตภาษี โดยอาจกำหนดให้มีผลย้อนหลังไปยังรอบปีภาษีที่ไม่ถูกต้องได้ และให้นำกฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับต่อไป (เพิ่มมาตรา 27/1)
  1. การประสานข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐ กำหนดอำนาจให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสามารถประสานไปยังกระทรวงการคลังซึ่งเป็นต้นสังกัดของหน่วยงานผู้จัดเก็บภาษีอากร ให้จัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรตามกฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องได้ (เพิ่มมาตรา 12/1)

ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว เป็นการดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการ จากการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Top-Up Tax) (เป็นการจัดเก็บภาษีในรูปแบบใหม่) ซึ่งประเทศไทย ได้ตรา พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.68 เพื่อจัดเก็บภาษีดังกล่าวจากกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติขนาดใหญ่ และนิติบุคคลในเครือ ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทยที่มีรายได้รวมทั้งหมดตามงบการเงินรวมของนิติบุคคลแม่ลำดับสูงสุดของกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาตินั้น ตั้งแต่ 750 ล้านยูโรขึ้นไป (ประมาณ 30,000 ล้านบาท) ในอย่างน้อย 2 รอบระยะเวลาบัญชี ในช่วง 4 รอบระยะเวลาบัญชีก่อนหน้ารอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบันที่พิจารณา เป็นผู้มีหน้าที่ต้องเสีย Top-Up Tax โดยต้องเสียภาษีขั้นต่ำ (GMT) ในอัตราร้อยละ 15 (ซึ่งต้องเริ่มคำนวณและยื่นแบบเพื่อชำระภาษีดังกล่าวตั้งแต่ปี 2568) อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการรองรับการเสียภาษีขั้นต่ำ (Global Minimum Tax) ตาม Pillar 2 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)

โดยจากการศึกษาพบว่า ในต่างประเทศได้มีการนำวิธีการให้เครดิตภาษี (Qualified Refundable Tax Credits: ORTC) ซึ่งเป็นการคืนเงินภาษีในรูปแบบของเงินสด หรือเทียบเท่า หากบริษัทสามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลของผู้จัดเก็บภาษีกำหนด มาใช้เป็นแนวทางในการบรรเทาผลกระทบจากการจัดเก็บ Top-Up Tax และวิธีการ ORTC เป็นวิธีการที่ OECD ให้การยอมรับ

นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ยังมีการอนุมัติงบกลางในหลายรายการ สำหรับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น โครงการอาหารเสริมนมในโรงเรียนเอกชน เป็นต้น

อีกทั้ง ครม. ยังได้รับทราบข้อห่วงใยของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการปฏิบัติตามพ.ร.บ.ส่งเสริมพัฒนาคุณภาพคนพิการ พ.ศ.2550 ซึ่งในอดีตที่ผ่านมากฎหมายฉบับนี้ รัฐบาลต้องการให้มีคนพิการเข้าทำงานในหน่วยงานต่าง ๆ ตามเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดไว้ โดยปัจจุบันมีคนพิการถึง 2,206,343 คน แต่เข้าทำงานเพียง 18,000 คน จึงมีมติให้ไปจำแนกประเภทคนพิการ เพื่อส่งเสริมให้คนพิการทำงานมากขึ้นตามข้อกำหนดที่กำหนดไว้


แหล่งที่มา : อินโฟเควสท์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.